สภาพอากาศของเดือนสิงหาคม ใน บลูมฟอนเทน แอฟริกาใต้

อุณหภูมิสูงรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 4°C จาก 18°C เป็น 22°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 13°C หรือสูงกว่า 27°C

อุณหภูมิต่ำรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 4°C จาก -1°C เป็น 3°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า -4°C หรือสูงกว่า 8°C

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 1 มกราคม วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน บลูมฟอนเทน โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 15°C ถึง 30°C ส่วน 3 กรกฎาคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ -2°C ถึง 16°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยรวมของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในช่วงไตรมาสที่เริ่มจากเดือน สิงหาคม ของปี แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

Valentín Gómez Farías, เม็กซิโก (ห่างออกไป 15,457 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ บลูมฟอนเทน มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ บลูมฟอนเทน กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

เดือน สิงหาคม ใน บลูมฟอนเทน มีเมฆปกคลุม เพิ่มขึ้นช้า ๆ โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้า มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก เพิ่มขึ้น จาก 13% เป็น 19%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดของเดือนคือ 1 สิงหาคม โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 87% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 19 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 32% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 16 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 87% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน บลูมฟอนเทน วันที่หยาดน้ำฟ้าจะตกมากในช่วงเดือน สิงหาคม มีโอกาส เพิ่มขึ้นช้า ๆ โดยในช่วงต้นเดือนมีโอกาส 3% ส่วนช่วงปลายเดือนมีโอกาส 6%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 35% ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ และโอกาสน้อยที่สุดคือ 2% ในวันที่ 14 กรกฎาคม

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในเดือน ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างเดือน สิงหาคม ใน บลูมฟอนเทน เพิ่มขึ้นช้า ๆ โดยในช่วงต้นเดือนอยู่ที่ 8 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 33 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า -0 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายเดือนอยู่ที่ 15 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 46 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า -0 มิลลิเมตร

ตลอดระยะเวลาของวันที่ สิงหาคม ใน บลูมฟอนเทน ความยาวของเวลากลางวัน เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ต้นเดือนถึงสิ้นเดือน ความยาวของเวลากลางวัน เพิ่มขึ้น ไป 44 นาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามี การเพิ่มขึ้น รายวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 1 นาที และ 29 วินาที และมี การเพิ่มขึ้น รายสัปดาห์เท่ากับ 10 นาที และ 22 วินาที

วันที่สั้นที่สุดของเดือนคือวันที่ 1 สิงหาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 10 ชั่วโมง และ 46 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 31 สิงหาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 11 ชั่วโมง และ 30 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดของเดือน ใน บลูมฟอนเทน คือ 06:58 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม และพระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดคือ ก่อนหน้านั้น 28 นาที ในเวลา 06:30 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม

เวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ 17:44 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม และเวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 16 นาที ในเวลา 18:00 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน บลูมฟอนเทน ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05:13 และตกในเวลาอีก 14 ชั่วโมง และ 1 นาที ต่อมาที่เวลา 19:13 ส่วนในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 07:08 และตกในเวลาอีก 10 ชั่วโมง และ 17 นาที ต่อมาที่ 17:25

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับเดือน สิงหาคม 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะ ร้อนอบอ้าว ใน บลูมฟอนเทน is อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ ระหว่างเดือน สิงหาคม โดยคงอยู่ที่ประมาณ 0% ตลอดเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 13 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 1% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 12 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 0% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ใน บลูมฟอนเทน เพิ่มขึ้นช้า ๆ ระหว่างเดือน สิงหาคม โดยเพิ่มขึ้นจาก 13.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 15.2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 15.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 11.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ใน บลูมฟอนเทน ตลอดเดือน สิงหาคม ส่วนใหญ่คือจาก ทิศเหนือ โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 41% ในวันที่ 15 สิงหาคม

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

โดยทั่วไป ฤดูเพาะปลูก ใน บลูมฟอนเทน จะมีเวลานาน 7.8 เดือน (235 วัน) โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณวันที่ 13 กันยายน ถึงประมาณวันที่ 6 พฤษภาคม น้อยครั้งมากที่จะเริ่มต้นก่อนวันที่ 21 สิงหาคม หรือหลังวันที่ 5 ตุลาคม และน้อยครั้งมากที่จะสิ้นสุดก่อนวันที่ 15 เมษายน หรือหลังวันที่ 30 พฤษภาคม

เดือน สิงหาคม ใน บลูมฟอนเทน มีโอกาสมากที่จะอยู่ภายนอกช่วงฤดูกาลเพาะปลูก โดยที่วันใดวันหนึ่งมีโอกาสจะอยู่ในฤดูกาลเพาะปลูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก -0% เป็น 25% ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ย ใน บลูมฟอนเทน เพิ่มขึ้นช้า ๆ ระหว่างเดือน สิงหาคม โดยเพิ่มขึ้น 96°C จาก 58°C เป็น 154°C ตลอดระยะเวลาทั้งเดือน

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวัน ใน บลูมฟอนเทน เพิ่มขึ้น ระหว่างเดือน สิงหาคม โดยเพิ่มขึ้น 1.1 กว.-ชม. จาก 4.5 กว.-ชม. เป็น 5.6 กว.-ชม. ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ บลูมฟอนเทน คือละติจูดที่ -29.121° ลองจิจูดที่ 26.214° และระดับความสูง 1,396 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ บลูมฟอนเทน มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 135 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 1,407 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น (288 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก (936 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ บลูมฟอนเทน ปกคลุมไปด้วย พื้นผิวเทียม (100%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ทุ่งหญ้า (42%)และพื้นผิวเทียม (30%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ทุ่งหญ้า (66%)และพื้นที่เพาะปลูก (22%)