สภาพอากาศของเดือนเมษายน ใน Jūybār อิหร่าน

อุณหภูมิสูงรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 5°C จาก 18°C เป็น 22°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 12°C หรือสูงกว่า 28°C

อุณหภูมิต่ำรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 5°C จาก 9°C เป็น 14°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 5°C หรือสูงกว่า 17°C

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 6 สิงหาคม วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน Jūybār โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 24°C ถึง 31°C ส่วน 30 มกราคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ 4°C ถึง 12°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยรวมของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในช่วงไตรมาสที่เริ่มจากเดือน เมษายน ของปี แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

Kokubu-matsuki, ญี่ปุ่น (ห่างออกไป 6,988 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ Jūybār มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ Jūybār กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

เดือน เมษายน ใน Jūybār มีเมฆปกคลุม อยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้า มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ยังคงอยู่ที่ประมาณ 39% ตลอดทั้งเดือน

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดของเดือนคือ 30 เมษายน โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 63% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 43% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 9 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 99% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน Jūybār วันที่หยาดน้ำฟ้าจะตกมากในช่วงเดือน เมษายน มีโอกาส ลดลงช้า ๆ โดยในช่วงต้นเดือนมีโอกาส 10% ส่วนช่วงปลายเดือนมีโอกาส 7%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 21% ในวันที่ 3 ธันวาคม และโอกาสน้อยที่สุดคือ 4% ในวันที่ 5 มิถุนายน

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในเดือน ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วง 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างเดือน เมษายน ใน Jūybār ลดลงช้า ๆ โดยในช่วงต้นเดือนอยู่ที่ 21 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 51 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 1 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายเดือนอยู่ที่ 10 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 27 มิลลิเมตร

ตลอดระยะเวลาของวันที่ เมษายน ใน Jūybār ความยาวของเวลากลางวัน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นเดือนถึงสิ้นเดือน ความยาวของเวลากลางวัน เพิ่มขึ้น ไป 1 ชั่วโมง และ 4 นาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามี การเพิ่มขึ้น รายวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 2 นาที และ 12 วินาที และมี การเพิ่มขึ้น รายสัปดาห์เท่ากับ 15 นาที และ 23 วินาที

วันที่สั้นที่สุดของเดือนคือวันที่ 1 เมษายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 37 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 30 เมษายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 13 ชั่วโมง และ 40 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดของเดือน ใน Jūybār คือ 05:44 เมื่อวันที่ 1 เมษายน และพระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดคือ ก่อนหน้านั้น 38 นาที ในเวลา 05:05 เมื่อวันที่ 30 เมษายน

เวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ 18:20 เมื่อวันที่ 1 เมษายน และเวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 25 นาที ในเวลา 18:46 เมื่อวันที่ 30 เมษายน

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน Jūybār ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 04:39 และตกในเวลาอีก 14 ชั่วโมง และ 40 นาที ต่อมาที่เวลา 19:20 ส่วนในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 07:06 และตกในเวลาอีก 9 ชั่วโมง และ 39 นาที ต่อมาที่ 16:46

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับเดือน เมษายน 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะ ร้อนอบอ้าว ใน Jūybār เพิ่มขึ้นช้า ๆ ระหว่างเดือน เมษายน เพิ่มขึ้น จาก 0% เป็น 3% ตลอดช่วงเวลาของเดือนนั้น

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 93% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 4 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 0% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ใน Jūybār is อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ ระหว่างเดือน เมษายน โดยคงอยู่ภายในช่วง 0.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของ 8.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 4 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 9.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 4 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 8.2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ใน Jūybār ตลอดเดือน เมษายน ส่วนใหญ่คือจาก ทิศเหนือ โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 47% ในวันที่ 30 เมษายน

Jūybār ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ (เช่น มหาสมุทร ทะเล หรือทะเลสาบขนาดใหญ่) เนื้อหาในส่วนนี้จะรายงานเกี่ยวกับอุณหภูมิน้ำผิวดินในพื้นที่กว้างโดยเฉลี่ยของแหล่งน้ำนั้น

อุณหภูมิน้ำผิวดินเฉลี่ย ใน Jūybār เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างเดือน เมษายน, เพิ่มขึ้น 4°C จาก 13°C เป็น 17°C ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

โดยทั่วไป ฤดูเพาะปลูก ใน Jūybār จะมีเวลานาน 11 เดือน (332 วัน) โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ถึงประมาณวันที่ 4 มกราคม น้อยครั้งมากที่จะเริ่มต้นหลังวันที่ 8 มีนาคม หรือสิ้นสุดก่อนวันที่ 11 ธันวาคม

เดือน เมษายน ใน Jūybār อยู่ภายในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกมาโดยตลอด

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ย ใน Jūybār เพิ่มขึ้น ระหว่างเดือน เมษายน โดยเพิ่มขึ้น 176°C จาก 129°C เป็น 305°C ตลอดระยะเวลาทั้งเดือน

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวัน ใน Jūybār เพิ่มขึ้นช้า ๆ ระหว่างเดือน เมษายน โดยเพิ่มขึ้น 0.9 กว.-ชม. จาก 5.5 กว.-ชม. เป็น 6.5 กว.-ชม. ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ Jūybār คือละติจูดที่ 36.641° ลองจิจูดที่ 52.912° และระดับความสูง -7 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Jūybār มี ลักษณะราบเรียบเป็นสำคัญ โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 12 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ -10 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีลักษณะราบเรียบเป็นสำคัญ (116 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น (3,868 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Jūybār ปกคลุมไปด้วย พื้นที่เพาะปลูก (88%)และพุ่มไม้ (12%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย พื้นที่เพาะปลูก (76%)และพุ่มไม้ (11%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย น้ำ (41%)และต้นไม้ (34%)