สภาพอากาศในฤดูหนาวใน Santa María de Caparo เวเนซุเอลา

อุณหภูมิสูงรายวันอยู่ที่ประมาณ 31°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 28°C หรือสูงกว่า 34°C อุณหภูมิสูงเฉลี่ยรายวันต่ำสุดคือ 30°C ในวันที่ 13 ธันวาคม

อุณหภูมิต่ำรายวันอยู่ที่ประมาณ 21°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 19°C หรือสูงกว่า 24°C อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันต่ำสุดคือ 21°C ในวันที่ 17 มกราคม

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน Santa María de Caparo โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 22°C ถึง 32°C ส่วน 16 มกราคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ 21°C ถึง 31°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยสรุปของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในฤดูหนาว แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

Bogor, อินโดนีเซีย (ห่างออกไป 19,807 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ Santa María de Caparo มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ Santa María de Caparo กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

ฤดูหนาวใน Santa María de Caparo มีเมฆปกคลุม อยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆเป็นส่วนมากยังคงอยู่ที่ประมาณ 73% ตลอดทั้งฤดู โอกาสต่ำสุดที่ท้องฟ้าจะ มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ในวันที่ 17 มกราคม คือ 68%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดในฤดูหนาว คือ 17 มกราคม โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 32% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 86% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 17 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 32% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน Santa María de Caparo วันที่ฝนจะตกในฤดูหนาว มีโอกาส ลดลงอย่างรวดเร็วมาก โดยในช่วงต้นฤดูมีโอกาส 36% ส่วนช่วงปลายฤดูมีโอกาส 15%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 71% ในวันที่ 14 มิถุนายน และโอกาสน้อยที่สุดคือ 7% ในวันที่ 21 มกราคม

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในฤดูนั้น ๆ ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างฤดูหนาวใน Santa María de Caparo ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงต้นฤดูอยู่ที่ 78 มิลลิเมตร ซึ่งมีน้อยมากที่เกิน 143 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 24 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายฤดูอยู่ที่ 32 มิลลิเมตร ซึ่งมีน้อยมากที่เกิน 94 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 1 มิลลิเมตร

ปริมาณสะสมใน 31 วันโดยเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 15 มิลลิเมตร ในวันที่ 24 มกราคม

ตลอดระยะเวลาของฤดูหนาวใน Santa María de Caparo ความยาวของเวลากลางวันจะเพิ่มขึ้นช้า ๆ ตั้งแต่ต้นฤดูถึงสิ้นฤดู ความยาวของเวลากลางวันจะเพิ่มขึ้นไป 16 นาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการเพิ่มขึ้นรายวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 11 วินาที และมีการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์เท่ากับ 1 นาที และ 15 วินาที

วันที่สั้นที่สุดของฤดูหนาวคือวันที่ 21 ธันวาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 11 ชั่วโมง และ 41 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 11 ชั่วโมง และ 58 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดของฤดูหนาวใน Santa María de Caparo คือเวลา 06:43 ในวันที่ 1 ธันวาคม และพระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดคือหลังจากนั้นอีก 22 นาที ในเวลา 07:05 ของวันที่ 30 มกราคม

เวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ 18:26 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม และเวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 31 นาที ในเวลา 18:57 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน Santa María de Caparo ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 06:30 และตกในเวลาอีก 12 ชั่วโมง และ 34 นาที ต่อมาที่เวลา 19:04 ส่วนในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 06:53 และตกในเวลาอีก 11 ชั่วโมง และ 41 นาที ต่อมาที่ 18:34

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

ใน Santa María de Caparo โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะมีอากาศร้อนอบอ้าวนั้นลดลงอย่างรวดเร็วมากในช่วงฤดูหนาว โดยจะลดลงจาก 93% เป็น 69% ภายในฤดูนั้น

โอกาสต่ำสุดที่จะมีวันร้อนอบอ้าวในช่วงฤดูหนาวคือ 69% ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 95% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 69% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน Santa María de Caparo จะเพิ่มขึ้น ในช่วงฤดูหนาว โดยเพิ่มขึ้นจาก 4.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 6.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในช่วงฤดูกาลนั้น

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 9 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 6.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 29 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 4.0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน Santa María de Caparo ตลอดฤดูหนาวส่วนใหญ่คือ จากทิศตะวันออก โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 70% ในวันที่ 20 ธันวาคม

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

อุณหภูมิ ใน Santa María de Caparo มีอากาศอบอุ่นเพียงพอตลอดทั้งปี จึงไม่มีความหมายแต่ประการใดที่จะกล่าวถึงฤดูเพาะปลูกด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เราได้แสดงแผนภูมิไว้ด้านล่างเพื่อให้เห็นการกระจายของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ยใน Santa María de Caparo จะลดลงอย่างรวดเร็วมากระหว่างฤดูหนาว โดยลดลง 4,167°C จาก 5,048°C เป็น 881°C ภายในช่วงฤดูนั้น

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวันใน Santa María de Caparo จะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยเพิ่มขึ้น 1.0 กว.-ชม. จาก 4.9 กว.-ชม. เป็น 5.9 กว.-ชม. ภายในฤดูนั้น

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยสูงสุดรายวันในช่วงฤดูหนาวคือ 5.9 กว.-ชม. ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ Santa María de Caparo คือละติจูดที่ 7.714° ลองจิจูดที่ -71.465° และระดับความสูง 206 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Santa María de Caparo มีระดับความสูงที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญมาก โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 275 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 232 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก (1,430 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ยังมีระดับความสูงที่แตกต่างกันมากอย่างยิ่งเช่นกัน (3,752 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Santa María de Caparo ปกคลุมไปด้วย ทุ่งหญ้า (35%) ต้นไม้ (35%) และพื้นที่เพาะปลูก (22%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (54%)และทุ่งหญ้า (23%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (48%)และทุ่งหญ้า (26%)