ภูมิอากาศและสภาพอากาศเฉลี่ยตลอดปีใน Bengkayang อินโดนีเซีย

ใน Bengkayang ฤดูร้อนมีลักษณะ ยาวนานและร้อน ฤดูหนาวมีลักษณะ สั้นและอุ่น และ ร้อนและไม่มีลม มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก และมืดครึ้ม ตลอดปี ในระยะเวลาหนึ่งปี โดยทั่วไป อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งแต่ 22°C ถึง 32°C และน้อยมากที่จะอยู่ต่ำกว่า 21°C หรือสูงกว่า 33°C

คะแนนชายหาด/สระว่ายน้ำแสดงว่าเวลาที่ดีที่สุดของปีที่น่าไปเที่ยว Bengkayang เพื่อเพลิดเพลินกับกิจกรรมในช่วงอากาศร้อนคือ ตั้งแต่ช่วงกลาง พฤษภาคม ถึงกลางเดือนกันยายน

ฤดูกาลที่ร้อนมีระยะเวลา 4.7 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน ถึงวันที่ 7 กันยายน และอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยรายวันสูงกว่า 31°C เดือนที่มีอากาศร้อนที่สุดของปีใน Bengkayang คือ พฤษภาคม โดยมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยเท่ากับ 31°C และต่ำสุดเฉลี่ยเท่ากับ 23°C

ฤดูกาลที่เย็นมีระยะเวลา 2.2 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ และอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยรายวันต่ำกว่า 30°C เดือนที่มีอากาศหนาวที่สุดของปีใน Bengkayang คือ มกราคม โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยเท่ากับ 22°C และสูงสุดเฉลี่ยเท่ากับ 30°C

เปอร์เซ็นต์เฉลี่ยของท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆใน Bengkayang มีความแตกต่างกันเล็กน้อยตามฤดูกาลตลอดระยะเวลาทั้งปี

ช่วงที่แจ่มใสกว่าของปี ใน Bengkayang จะเริ่มต้นประมาณวันที่ 13 พฤษภาคม และมีระยะเวลานาน 3.4 เดือน แล้วสิ้นสุดประมาณวันที่ 26 สิงหาคม

เดือนที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดของปีใน Bengkayang คือ กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่โดยเฉลี่ยแล้วท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วนในอัตรา 25% ของเวลา

ช่วงที่มีเมฆมากกว่าของปีจะเริ่มต้นประมาณวันที่ 26 สิงหาคม และมีระยะเวลานาน 8.6 เดือน แล้วสิ้นสุดประมาณวันที่ 13 พฤษภาคม

เดือนที่ท้องฟ้ามีเมฆมากที่สุดของปีใน Bengkayang คือ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่โดยเฉลี่ยแล้วท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆเป็นส่วนมากในอัตรา 88% ของเวลา

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร โอกาสสำหรับวันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมากใน Bengkayang มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตลอดทั้งปี

ฤดูกาลที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมากกว่ามีระยะเวลานาน 7.0 เดือน ระหว่างวันที่ 4 ตุลาคม ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม โดยมีโอกาสสูงกว่า 54% ที่วันใดวันหนึ่งจะเป็นวันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก เดือนที่มีวันที่หยาดน้ำฟ้าตกมากที่สุดใน Bengkayang คือ พฤศจิกายน โดยมีจำนวนวันเฉลี่ยเท่ากับ 20.9 วัน และมีปริมาณฝนอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร

ฤดูกาลที่แห้งกว่ามีระยะเวลานาน 5.0 เดือน ระหว่างวันที่ 3 พฤษภาคม ถึงวันที่ 4 ตุลาคม เดือนที่มีวันที่หยาดน้ำฟ้าตกน้อยที่สุดใน Bengkayang คือ กรกฎาคม โดยมีจำนวนวันเฉลี่ยเท่ากับ 12.3 วัน และมีปริมาณฝนอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร

ในวันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก เราแยกความแตกต่างระหว่างวันที่มีฝนล้วน หรือหิมะล้วน หรือหิมะและฝนผสมกัน เดือนที่มีฝนล้วนเป็นจำนวนวันมากที่สุดใน Bengkayang คือ พฤศจิกายน โดยมีจำนวนวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 20.9 วัน การจำแนกประเภทเช่นนี้แสดงว่า รูปแบบของหยาดน้ำฟ้าที่พบบ่อยที่สุดตลอดทั้งปีคือ ฝนล้วน โดยมีความน่าจะเป็นสูงสุดเท่ากับ 71% ในวันที่ 14 พฤศจิกายน

ปริมาณน้ำฝน

เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวันในปีนั้นไว้ตรงกลาง เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในเดือน ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน Bengkayang มีปริมาณฝนรายเดือนแตกต่างกันอย่างยิ่งตามฤดูกาล

ปริมาณฝนตลอดปีใน Bengkayang เดือนที่มีปริมาณฝนมากที่สุดใน Bengkayang คือ มกราคม โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเท่ากับ 388 มิลลิเมตร

เดือนที่มีปริมาณฝนน้อยที่สุดใน Bengkayang คือ สิงหาคม โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเท่ากับ 158 มิลลิเมตร

ความยาวของวันใน Bengkayang ไม่แตกต่างกันมากตลอดระยะเวลาทั้งปี และคงอยู่ภายในช่วง 10 นาที ของ 12 ชั่วโมง โดยตลอด ในปี พ.ศ. 2567 วันที่สั้นที่สุดคือวันที่ 21 ธันวาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 5 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 21 มิถุนายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 10 นาที

พระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดคือเวลา 05:23 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน และพระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดคือในอีก 31 นาที ต่อมาที่เวลา 05:53 ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือเวลา 17:28 ในวันที่ 4 พฤศจิกายน และพระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือในอีก 31 นาที ต่อมาที่เวลา 17:59 ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง (DST) ใน Bengkayang ระหว่างปี พ.ศ. 2567

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับเดือน พ.ศ. 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

ระดับความชื้นที่รับรู้ ใน Bengkayang เมื่อวัดเป็นร้อยละของเวลาที่ระดับความสบายต่อความชื้นคือ ร้อนอบอ้าว ร้อนและไม่มีลม หรือ มีความชื้นสูงมาก ไม่แปรเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญตลอดระยะเวลาทั้งปี โดยยังคงมีค่าที่เกือบคงที่เท่ากับ 100% ตลอดทั้งปี

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน Bengkayang ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญตลอดทั้งปี โดยยังคงอยู่ภายในช่วง 0.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของ 4.2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดเวลา

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมงส่วนใหญ่ใน Bengkayang มีความแตกต่างกันตลอดปี

ลมมักพัดมาจากทิศตะวันตก เป็นเวลา 1.5 เดือน ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม ถึงวันที่ 8 พฤษภาคมและเป็นเวลา 2.6 เดือน ระหว่างวันที่ 30 กันยายน ถึงวันที่ 17 ธันวาคม โดยมีเปอร์เซ็นต์สูงสุดเท่ากับ 56% ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ลมมักพัดมาจากทิศใต้ เป็นเวลา 4.7 เดือน ระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม ถึงวันที่ 30 กันยายน โดยมีเปอร์เซ็นต์สูงสุดเท่ากับ 70% ในวันที่ 6 สิงหาคม ลมมักพัดมาจากทิศเหนือ เป็นเวลา 3.2 เดือน ระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม ถึงวันที่ 23 มีนาคม โดยมีเปอร์เซ็นต์สูงสุดเท่ากับ 57% ในวันที่ 1 มกราคม

Bengkayang ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ (เช่น มหาสมุทร ทะเล หรือทะเลสาบขนาดใหญ่) เนื้อหาในส่วนนี้จะรายงานเกี่ยวกับอุณหภูมิน้ำผิวดินในพื้นที่กว้างโดยเฉลี่ยของแหล่งน้ำนั้น

อุณหภูมิน้ำโดยเฉลี่ยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตามฤดูกาลตลอดระยะเวลาทั้งปี

เวลาของปีที่น้ำอุ่นกว่าปกติมีระยะเวลานาน 3.1 เดือน ระหว่างวันที่ 22 เมษายน ถึงวันที่ 24 กรกฎาคม โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 30°C เดือนที่น้ำมีความอุ่นมากที่สุดของปีใน Bengkayang คือเดือนมิถุนายน โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยเท่ากับ 30°C

เวลาของปีที่น้ำเย็นกว่าปกติมีระยะเวลานาน 1.8 เดือน ระหว่างวันที่ 8 มกราคม ถึงวันที่ 1 มีนาคม โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า 28°C เดือนที่น้ำมีความเย็นมากที่สุดของปีใน Bengkayang คือเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยเท่ากับ 28°C

เราคำนวณคะแนนการเดินทาง 2 ชนิดเพื่อระบุว่าสภาพอากาศตลอดทั้งปี ใน Bengkayang มีสภาวะน่าสบายมากแค่ไหน

คะแนนการท่องเที่ยว จะสูงตามจำนวนวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีฝน โดยมีอุณหภูมิที่รู้สึกได้ระหว่าง 18°C ถึง 27°C คะแนนนี้แสดงว่า เวลาที่ดีที่สุดของปีที่จะไปเที่ยว Bengkayang เพื่อเพลิดเพลินกับกลางแจ้งทั่วไปตามประสานักท่องเที่ยวคือ ตั้งแต่ช่วงปลาย พฤษภาคม ถึงปลายเดือนกันยายน โดยมีคะแนนสูงสุดในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน

คะแนนชายหาด/สระว่ายน้ำ จะสูงตามจำนวนวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีฝน โดยมีอุณหภูมิที่รู้สึกได้ระหว่าง 24°C ถึง 32°C คะแนนนี้แสดงว่า เวลาที่ดีที่สุดของปีที่จะไปเที่ยว Bengkayang เพื่อเพลิดเพลินกับกิจกรรมในสภาพอากาศร้อนคือ ตั้งแต่ช่วงกลาง พฤษภาคม ถึงกลางเดือนกันยายน โดยมีคะแนนสูงสุดในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน

ระเบียบวิธี

ในแต่ละชั่วโมงระหว่าง 08:00 ถึง 21:00 ของแต่ละวันในช่วงเวลาการวิเคราะห์ (พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2559) คะแนนต่าง ๆ ที่ไม่ขึ้นต่อกันจะคำนวณจากอุณหภูมิที่รับรู้ เมฆปกคลุม และปริมาณหยาดน้ำฟ้าทั้งหมด คะแนนเหล่านั้นจะรวมเข้าด้วยกันเป็นคะแนนรวมรายชั่วโมงคะแนนเดียว จากนั้นจะรวมกลุ่มเป็นวัน โดยเฉลี่ยตลอดระยะเวลาหลายปีในช่วงการวิเคราะห์และปรับให้เรียบ

คะแนนเมฆปกคลุมของเราคือ 10 ในกรณีที่ท้องฟ้าแจ่มใสเต็มที่ แล้วลดลงเชิงเส้นไปที่ 9 ในกรณีที่ท้องฟ้าแจ่มใสเป็นส่วนใหญ่ และไปที่ 1 ในกรณีที่ท้องฟ้ามืดครึ้มเต็มที่

คะแนนหยาดน้ำฟ้าของเรา ซึ่งวัดจากปริมาณหยาดน้ำฟ้าในช่วง 3 ชั่วโมงโดยมีจุดกึ่งกลางตรงชั่วโมงที่สนใจ มีค่าเท่ากับ 10 สำหรับกรณีที่ไม่มีหยาดน้ำฟ้า แล้วลดลงแบบเชิงเส้นไปที่ 9 สำหรับกรณีที่มีหยาดน้ำฟ้าน้อยมาก และไปที่ 0 ในกรณีที่มีหยาดน้ำฟ้า 1 มิลลิเมตร หรือมากกว่านั้น

คะแนนอุณหภูมิสำหรับท่องเที่ยวของเราคือ 0 เมื่ออุณหภูมิที่รับรู้อยู่ต่ำกว่า 10°C โดยเพิ่มขึ้นแบบเชิงเส้นไปที่ 9 เมื่อมีอุณหภูมิ 18°C หรือไปที่ 10 เมื่อมีอุณหภูมิ 24°C และลดดลงแบบเชิงเส้นไปที่ 9 เมื่อมีอุณหภูมิ 27°C และไปที่ 1 เมื่อมีอุณหภูมิ 32°C หรือสูงกว่านั้น

คะแนนอุณหภูมิชายหาด/สระว่ายน้ำของเราคือ 0 เมื่ออุณหภูมิที่รับรู้อยู่ต่ำกว่า 18°C โดยเพิ่มขึ้นแบบเชิงเส้นไปที่ 9 เมื่อมีอุณหภูมิ 24°C หรือไปที่ 10 เมื่อมีอุณหภูมิ 28°C และลดดลงแบบเชิงเส้นไปที่ 9 เมื่อมีอุณหภูมิ 32°C และไปที่ 1 เมื่อมีอุณหภูมิ 38°C หรือสูงกว่านั้น

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

อุณหภูมิ ใน Bengkayang มีอากาศอบอุ่นเพียงพอตลอดทั้งปี จึงไม่มีความหมายแต่ประการใดที่จะกล่าวถึงฤดูเพาะปลูกด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เราได้แสดงแผนภูมิไว้ด้านล่างเพื่อให้เห็นการกระจายของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ Bengkayang คือละติจูดที่ 0.832° ลองจิจูดที่ 109.436° และระดับความสูง 106 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Bengkayang มีระดับความสูงที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญมาก โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 419 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 152 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก (1,403 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ยังมีระดับความสูงที่แตกต่างกันมากอย่างยิ่งเช่นกัน (1,674 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Bengkayang ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (56%)และพื้นที่เพาะปลูก (39%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (58%)และพื้นที่เพาะปลูก (33%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (50%)และพื้นที่เพาะปลูก (29%)