สภาพอากาศในฤดูหนาวใน Kyegegwa ยูกันดา

อุณหภูมิสูงรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 3°C จาก 26°C เป็น 28°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 23°C หรือสูงกว่า 32°C อุณหภูมิสูงเฉลี่ยรายวันสูงสุดคือ 28°C ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์

อุณหภูมิต่ำรายวันอยู่ที่ประมาณ 15°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 13°C หรือสูงกว่า 17°C อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันต่ำสุดคือ 14°C ในวันที่ 27 ธันวาคม

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน Kyegegwa โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 15°C ถึง 28°C ส่วน 15 กรกฎาคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ 13°C ถึง 26°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยสรุปของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในฤดูหนาว แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ Kyegegwa กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

ฤดูหนาวใน Kyegegwa มีเมฆปกคลุม เพิ่มขึ้นช้า ๆ โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆเป็นส่วนมากเพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 77% โอกาสต่ำสุดที่ท้องฟ้าจะ มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ในวันที่ 22 ธันวาคม คือ 69%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดในฤดูหนาว คือ 22 ธันวาคม โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 31% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 17 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 84% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 49% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน Kyegegwa วันที่ฝนจะตกในฤดูหนาว มีโอกาส ลดลงอย่างรวดเร็วมาก โดยในช่วงต้นฤดูมีโอกาส 64% ส่วนช่วงปลายฤดูมีโอกาส 42%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 82% ในวันที่ 3 พฤศจิกายน และโอกาสน้อยที่สุดคือ 22% ในวันที่ 21 มกราคม

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในฤดูนั้น ๆ ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างฤดูหนาวใน Kyegegwa ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงต้นฤดูอยู่ที่ 112 มิลลิเมตร ซึ่งมีน้อยมากที่เกิน 174 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 43 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายฤดูอยู่ที่ 71 มิลลิเมตร ซึ่งมีน้อยมากที่เกิน 137 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 20 มิลลิเมตร

ปริมาณสะสมใน 31 วันโดยเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 37 มิลลิเมตร ในวันที่ 28 มกราคม

ตลอดระยะเวลาของฤดูหนาวใน Kyegegwa ความยาวของเวลากลางวันจะอยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ วันที่สั้นที่สุดของฤดูหนาวคือวันที่ 2 ธันวาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 6 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 27 กุมภาพันธ์ โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 6 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดของฤดูหนาวใน Kyegegwa คือเวลา 06:42 ในวันที่ 1 ธันวาคม และพระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดคือหลังจากนั้นอีก 25 นาที ในเวลา 07:07 ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์

เวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ 18:47 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม และเวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 25 นาที ในเวลา 19:12 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน Kyegegwa ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 06:52 และตกในเวลาอีก 12 ชั่วโมง และ 9 นาที ต่อมาที่เวลา 19:02 ส่วนในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 06:51 และตกในเวลาอีก 12 ชั่วโมง และ 6 นาที ต่อมาที่ 18:56

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

ใน Kyegegwa โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะมีอากาศร้อนอบอ้าวนั้นลดลงในช่วงฤดูหนาว โดยจะลดลงจาก 36% เป็น 31% ภายในฤดูนั้น

โอกาสต่ำสุดที่จะมีวันร้อนอบอ้าวในช่วงฤดูหนาวคือ 24% ในวันที่ 15 มกราคม

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 3 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 56% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 16 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 10% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน Kyegegwa จะอยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ ในช่วงฤดูหนาว โดยคงอยู่ภายใน 0.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของ 8.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดฤดู

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 10.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 7.0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยสูงสุดรายวันในฤดูหนาว คือ 9.0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์

ทิศทางลมใน Kyegegwa ในช่วงฤดูหนาวส่วนใหญ่มาจาก ทิศตะวันออก ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ถึงวันที่ 15 ธันวาคม ทิศเหนือ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม ถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ทิศตะวันตก ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และทิศใต้ ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

อุณหภูมิ ใน Kyegegwa มีอากาศอบอุ่นเพียงพอตลอดทั้งปี จึงไม่มีความหมายแต่ประการใดที่จะกล่าวถึงฤดูเพาะปลูกด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เราได้แสดงแผนภูมิไว้ด้านล่างเพื่อให้เห็นการกระจายของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ยใน Kyegegwa จะลดลงอย่างรวดเร็วมากระหว่างฤดูหนาว โดยลดลง 2,718°C จาก 3,338°C เป็น 620°C ภายในช่วงฤดูนั้น

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวันใน Kyegegwa จะเพิ่มขึ้นช้า ๆในช่วงฤดูหนาว โดยเพิ่มขึ้น 0.6 กว.-ชม. จาก 5.5 กว.-ชม. เป็น 6.1 กว.-ชม. ภายในฤดูนั้น

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยสูงสุดรายวันในช่วงฤดูหนาวคือ 6.3 กว.-ชม. ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ Kyegegwa คือละติจูดที่ 0.502° ลองจิจูดที่ 31.041° และระดับความสูง 1,411 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Kyegegwa มีระดับความสูงที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 150 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 1,361 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (321 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก (1,199 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Kyegegwa ปกคลุมไปด้วย พื้นที่เพาะปลูก (56%)และต้นไม้ (39%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (54%)และพื้นที่เพาะปลูก (37%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (38%)และพื้นที่เพาะปลูก (33%)