สภาพอากาศในฤดูใบไม้ผลิใน สแตนลีย์ หมู่เกาะฟอล์กแลนด์

อุณหภูมิสูงรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 6°C จาก 6°C เป็น 12°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 4°C หรือสูงกว่า 14°C

อุณหภูมิต่ำรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 4°C จาก 3°C เป็น 7°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 1°C หรือสูงกว่า 9°C

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 17 มกราคม วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน สแตนลีย์ โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 8°C ถึง 13°C ส่วน 17 กรกฎาคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ 2°C ถึง 4°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยสรุปของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในฤดูใบไม้ผลิ แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

ทอร์สเฮาน์, หมู่เกาะแฟโร (ห่างออกไป 13,434 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ สแตนลีย์ มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ สแตนลีย์ กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

ฤดูใบไม้ผลิใน สแตนลีย์ มีเมฆปกคลุม ลดลงช้า ๆ โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆเป็นส่วนมากลดลงจาก 61% เป็น 55%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ คือ 25 พฤศจิกายน โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 46% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 6 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 68% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 47% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน สแตนลีย์ วันที่ฝนจะตกในฤดูใบไม้ผลิ มีโอกาส เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงต้นฤดูมีโอกาส 23% ส่วนช่วงปลายฤดูมีโอกาส 29%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 33% ในวันที่ 20 มีนาคม และโอกาสน้อยที่สุดคือ 19% ในวันที่ 6 ตุลาคม

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในฤดูนั้น ๆ ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างฤดูใบไม้ผลิใน สแตนลีย์ อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ โดยคงอยู่ที่ประมาณ 29 มิลลิเมตร ตลอดฤดู น้อยมากที่เกิน 54 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 11 มิลลิเมตร

ปริมาณสะสมใน 31 วันโดยเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 25 มิลลิเมตร ในวันที่ 6 ตุลาคม

ตลอดระยะเวลาของฤดูใบไม้ผลิใน สแตนลีย์ ความยาวของเวลากลางวันจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ตั้งแต่ต้นฤดูถึงสิ้นฤดู ความยาวของเวลากลางวันจะเพิ่มขึ้นไป 5 ชั่วโมง และ 27 นาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการเพิ่มขึ้นรายวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 3 นาที และ 38 วินาที และมีการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์เท่ากับ 25 นาที และ 28 วินาที

วันที่สั้นที่สุดของฤดูใบไม้ผลิคือวันที่ 1 กันยายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 10 ชั่วโมง และ 50 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 30 พฤศจิกายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 16 ชั่วโมง และ 17 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดในฤดูใบไม้ผลิใน สแตนลีย์ คือ 07:26 ในวันที่ 1 กันยายน และพระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 2 ชั่วโมง และ 55 นาที ในเวลา 04:32 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน

เวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ 18:16 เมื่อวันที่ 1 กันยายน และเวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 2 ชั่วโมง และ 33 นาที ในเวลา 20:49 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน สแตนลีย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 04:29 และตกในเวลาอีก 16 ชั่วโมง และ 41 นาที ต่อมาที่เวลา 21:10 ส่วนในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 08:59 และตกในเวลาอีก 7 ชั่วโมง และ 48 นาที ต่อมาที่ 16:46

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับฤดูใบไม้ผลิ ปี พ.ศ. 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

ใน สแตนลีย์ โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะมีอากาศร้อนอบอ้าวนั้นอยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยคงอยู่ที่ประมาณ 0% ตลอดทั้งฤดู

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน สแตนลีย์ จะลดลง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยลดลงจาก 31.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 29.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในช่วงฤดูกาลนั้น

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 32.0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 22 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 28.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน สแตนลีย์ ตลอดฤดูใบไม้ผลิส่วนใหญ่คือ จากทิศตะวันตก โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 57% ในวันที่ 27 พฤศจิกายน

สแตนลีย์ ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ (เช่น มหาสมุทร ทะเล หรือทะเลสาบขนาดใหญ่) เนื้อหาในส่วนนี้จะรายงานเกี่ยวกับอุณหภูมิน้ำผิวดินในพื้นที่กว้างโดยเฉลี่ยของแหล่งน้ำนั้น

อุณหภูมิน้ำผิวดินเฉลี่ยใน สแตนลีย์ เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยเพิ่มขึ้น 3°C จาก 5°C เป็น 8°C ภายในช่วงฤดูนั้น

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

โดยทั่วไป ฤดูเพาะปลูก ใน สแตนลีย์ จะมีเวลานาน 9.5 เดือน (289 วัน) โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณวันที่ 22 สิงหาคม ถึงประมาณวันที่ 7 มิถุนายน น้อยครั้งมากที่จะเริ่มต้นก่อนวันที่ 18 กรกฎาคม หรือหลังวันที่ 24 กันยายน และน้อยครั้งมากที่จะสิ้นสุดก่อนวันที่ 10 พฤษภาคม หรือหลังวันที่ 11 กรกฎาคม

ฤดูใบไม้ผลิใน สแตนลีย์ มีโอกาสมากที่จะอยู่ภายนอกช่วงฤดูกาลเพาะปลูก โดยที่วันใดวันหนึ่งมีโอกาสจะอยู่ในฤดูกาลเพาะปลูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 65% เป็น 100% ตลอดช่วงฤดู

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ยใน สแตนลีย์ จะอยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยคงอยู่ภายใน 6°C ของ 6°C ตลอดฤดู

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวันใน สแตนลีย์ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยเพิ่มขึ้น 4.2 กว.-ชม. จาก 2.0 กว.-ชม. เป็น 6.2 กว.-ชม. ภายในฤดูนั้น

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ สแตนลีย์ คือละติจูดที่ -51.700° ลองจิจูดที่ -57.850° และระดับความสูง 43 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ สแตนลีย์ มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 132 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 22 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น (283 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก (704 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ สแตนลีย์ ปกคลุมไปด้วย น้ำ (41%) พุ่มไม้ (24%) และต้นไม้ (18%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย น้ำ (75%)และต้นไม้ (13%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย น้ำ (85%)