สภาพอากาศในฤดูหนาวใน เซนต์มาติน เซนต์มาร์ติน

อุณหภูมิสูงรายวันอยู่ที่ประมาณ 29°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 27°C หรือสูงกว่า 30°C อุณหภูมิสูงเฉลี่ยรายวันต่ำสุดคือ 28°C ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์

อุณหภูมิต่ำรายวันอยู่ที่ประมาณ 24°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 22°C หรือสูงกว่า 26°C อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันต่ำสุดคือ 24°C ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 27 สิงหาคม วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน เซนต์มาติน โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 27°C ถึง 31°C ส่วน 13 กุมภาพันธ์ วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ 24°C ถึง 28°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยสรุปของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในฤดูหนาว แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ เซนต์มาติน กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

ฤดูหนาวใน เซนต์มาติน มีเมฆปกคลุม ลดลง โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆเป็นส่วนมากลดลงจาก 33% เป็น 22% โอกาสต่ำสุดที่ท้องฟ้าจะ มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ในวันที่ 12 มกราคม คือ 18%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดในฤดูหนาว คือ 12 มกราคม โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 82% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 69% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 12 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 82% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน เซนต์มาติน วันที่ฝนจะตกในฤดูหนาว มีโอกาส ลดลงอย่างรวดเร็วมาก โดยในช่วงต้นฤดูมีโอกาส 13% ส่วนช่วงปลายฤดูมีโอกาส 3%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 22% ในวันที่ 24 ตุลาคม และโอกาสน้อยที่สุดคือ 3% ในวันที่ 16 มกราคม

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในฤดูนั้น ๆ ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างฤดูหนาวใน เซนต์มาติน ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงต้นฤดูอยู่ที่ 35 มิลลิเมตร ซึ่งมีน้อยมากที่เกิน 102 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายฤดูอยู่ที่ 6 มิลลิเมตร ซึ่งมีน้อยมากที่เกิน 19 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า -0 มิลลิเมตร

ปริมาณสะสมใน 31 วันโดยเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 5 มิลลิเมตร ในวันที่ 28 มกราคม

ตลอดระยะเวลาของฤดูหนาวใน เซนต์มาติน ความยาวของเวลากลางวันจะเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ต้นฤดูถึงสิ้นฤดู ความยาวของเวลากลางวันจะเพิ่มขึ้นไป 39 นาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการเพิ่มขึ้นรายวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 27 วินาที และมีการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์เท่ากับ 3 นาที และ 6 วินาที

วันที่สั้นที่สุดของฤดูหนาวคือวันที่ 21 ธันวาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 11 ชั่วโมง และ 3 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 11 ชั่วโมง และ 47 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดของฤดูหนาวใน เซนต์มาติน คือเวลา 06:27 ในวันที่ 1 ธันวาคม และพระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดคือหลังจากนั้นอีก 19 นาที ในเวลา 06:46 ของวันที่ 18 มกราคม

เวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ 17:35 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม และเวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 43 นาที ในเวลา 18:18 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน เซนต์มาติน ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05:37 และตกในเวลาอีก 13 ชั่วโมง และ 13 นาที ต่อมาที่เวลา 18:50 ส่วนในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 06:39 และตกในเวลาอีก 11 ชั่วโมง และ 3 นาที ต่อมาที่ 17:42

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

ใน เซนต์มาติน โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะมีอากาศร้อนอบอ้าวนั้นลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูหนาว โดยจะลดลงจาก 97% เป็น 84% ภายในฤดูนั้น

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 4 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 100% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 5 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 83% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน เซนต์มาติน จะอยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ ในช่วงฤดูหนาว โดยคงอยู่ภายใน 0.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของ 24.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดฤดู

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 12 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 26.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 8 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 19.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยสูงสุดรายวันในฤดูหนาว คือ 25.7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในวันที่ 12 มกราคม

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน เซนต์มาติน ตลอดฤดูหนาวส่วนใหญ่คือ จากทิศตะวันออก โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 93% ในวันที่ 15 มกราคม

เซนต์มาติน ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ (เช่น มหาสมุทร ทะเล หรือทะเลสาบขนาดใหญ่) เนื้อหาในส่วนนี้จะรายงานเกี่ยวกับอุณหภูมิน้ำผิวดินในพื้นที่กว้างโดยเฉลี่ยของแหล่งน้ำนั้น

อุณหภูมิน้ำผิวดินเฉลี่ยใน เซนต์มาติน ลดลงช้า ๆในช่วงฤดูหนาว โดยลดลง 2°C จาก 28°C เป็น 26°C ภายในช่วงฤดูนั้น

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

อุณหภูมิ ใน เซนต์มาติน มีอากาศอบอุ่นเพียงพอตลอดทั้งปี จึงไม่มีความหมายแต่ประการใดที่จะกล่าวถึงฤดูเพาะปลูกด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เราได้แสดงแผนภูมิไว้ด้านล่างเพื่อให้เห็นการกระจายของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ยใน เซนต์มาติน จะลดลงอย่างรวดเร็วมากระหว่างฤดูหนาว โดยลดลง 4,870°C จาก 5,768°C เป็น 898°C ภายในช่วงฤดูนั้น

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวันใน เซนต์มาติน จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูหนาว โดยเพิ่มขึ้น 1.6 กว.-ชม. จาก 4.8 กว.-ชม. เป็น 6.4 กว.-ชม. ภายในฤดูนั้น

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ เซนต์มาติน คือละติจูดที่ 18.067° ลองจิจูดที่ -63.067° และระดับความสูง 0 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ เซนต์มาติน มี ลักษณะราบเรียบเป็นสำคัญ โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 0 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 0 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ก็มีลักษณะราบเรียบเป็นสำคัญ (0 เมตร) เช่นกัน ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ก็มีลักษณะราบเรียบเป็นสำคัญ (0 เมตร) เช่นกัน

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ เซนต์มาติน ปกคลุมไปด้วย ทุ่งหญ้า (40%) ต้นไม้ (39%) และพื้นที่เพาะปลูก (11%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย น้ำ (88%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย น้ำ (99%)