สภาพอากาศในฤดูร้อนใน หลวงพระบาง ลาว

อุณหภูมิสูงรายวันอยู่ที่ประมาณ 31°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 27°C หรือสูงกว่า 35°C อุณหภูมิสูงเฉลี่ยรายวันต่ำสุดคือ 30°C ในวันที่ 30 กรกฎาคม

อุณหภูมิต่ำรายวันอยู่ที่ประมาณ 24°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 23°C หรือสูงกว่า 25°C อุณหภูมิต่ำเฉลี่ยรายวันสูงสุดคือ 24°C ในวันที่ 30 มิถุนายน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 9 เมษายน วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน หลวงพระบาง โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 21°C ถึง 34°C ส่วน 1 มกราคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ 14°C ถึง 26°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยสรุปของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในฤดูร้อน แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

Metlaltoyuca, เม็กซิโก (ห่างออกไป 15,018 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ หลวงพระบาง มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ หลวงพระบาง กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

ฤดูร้อนใน หลวงพระบาง มีเมฆปกคลุม อยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆเป็นส่วนมากยังคงอยู่ที่ประมาณ 90% ตลอดทั้งฤดู โอกาสสูงสุดที่ท้องฟ้าจะ มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ในวันที่ 2 สิงหาคม คือ 93%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดในฤดูร้อน คือ 31 สิงหาคม โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 13% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 30 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 93% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 75% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน หลวงพระบาง วันที่ฝนจะตกในฤดูร้อน มีโอกาส เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก โดยในช่วงต้นฤดูมีโอกาส 42% ส่วนช่วงปลายฤดูมีโอกาส 56%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 62% ในวันที่ 5 สิงหาคม และโอกาสน้อยที่สุดคือ 2% ในวันที่ 23 มกราคม

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในฤดูนั้น ๆ ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างฤดูร้อนใน หลวงพระบาง เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก โดยในช่วงต้นฤดูอยู่ที่ 93 มิลลิเมตร ซึ่งมีน้อยมากที่เกิน 173 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 27 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายฤดูอยู่ที่ 147 มิลลิเมตร ซึ่งมีน้อยมากที่เกิน 243 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 52 มิลลิเมตร

ปริมาณสะสมใน 31 วันโดยเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 163 มิลลิเมตร ในวันที่ 14 สิงหาคม

ตลอดระยะเวลาของฤดูร้อนใน หลวงพระบาง ความยาวของเวลากลางวันจะลดลง ตั้งแต่ต้นฤดูถึงสิ้นฤดู ความยาวของเวลากลางวันจะลดลงไป 44 นาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการลดลงรายวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 29 วินาที และมีการลดลงรายสัปดาห์เท่ากับ 3 นาที และ 22 วินาที

วันที่สั้นที่สุดของฤดูร้อนคือวันที่ 31 สิงหาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 32 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 20 มิถุนายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 13 ชั่วโมง และ 20 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดของฤดูร้อนใน หลวงพระบาง คือเวลา 05:31 ในวันที่ 5 มิถุนายน และพระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดคือหลังจากนั้นอีก 24 นาที ในเวลา 05:55 ของวันที่ 31 สิงหาคม

เวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ 18:54 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม และเวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 27 นาที ในเวลา 18:27 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน หลวงพระบาง ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05:33 และตกในเวลาอีก 13 ชั่วโมง และ 20 นาที ต่อมาที่เวลา 18:53 ส่วนในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 06:41 และตกในเวลาอีก 10 ชั่วโมง และ 56 นาที ต่อมาที่ 17:37

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับฤดูร้อน ปี พ.ศ. 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

ใน หลวงพระบาง โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะมีอากาศร้อนอบอ้าวนั้นอยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญในช่วงฤดูร้อน โดยคงอยู่ที่ประมาณ 100% ตลอดทั้งฤดู

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 2 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 100% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 4 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 22% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน หลวงพระบาง จะอยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ ในช่วงฤดูร้อน โดยคงอยู่ภายใน 0.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของ 3.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดฤดู

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 18 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 5.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 3 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 3.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน หลวงพระบาง ตลอดฤดูร้อนส่วนใหญ่คือ จากทิศใต้ โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 61% ในวันที่ 1 มิถุนายน

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

อุณหภูมิ ใน หลวงพระบาง มีอากาศอบอุ่นเพียงพอตลอดทั้งปี จึงไม่มีความหมายแต่ประการใดที่จะกล่าวถึงฤดูเพาะปลูกด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เราได้แสดงแผนภูมิไว้ด้านล่างเพื่อให้เห็นการกระจายของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ยใน หลวงพระบาง จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากระหว่างฤดูร้อน โดยเพิ่มขึ้น 1,502°C จาก 2,066°C เป็น 3,568°C ภายในช่วงฤดูนั้น

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวันใน หลวงพระบาง จะอยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญในช่วงฤดูร้อน โดยคงอยู่ภายใน 0.4 กว.-ชม. ของ 4.9 กว.-ชม. ตลอดฤดู

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยต่ำสุดรายวันในช่วงฤดูร้อนคือ 4.6 กว.-ชม. ในวันที่ 2 สิงหาคม

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ หลวงพระบาง คือละติจูดที่ 19.886° ลองจิจูดที่ 102.135° และระดับความสูง 300 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ หลวงพระบาง มีระดับความสูงที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญมาก โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 315 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 314 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก (1,290 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ยังมีระดับความสูงที่แตกต่างกันมากอย่างยิ่งเช่นกัน (1,866 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ หลวงพระบาง ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (52%) พื้นผิวเทียม (25%) และพื้นที่เพาะปลูก (17%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (92%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ (91%)