สภาพอากาศในฤดูร้อนใน คาราจ อิหร่าน

อุณหภูมิสูงรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 3°C จาก 29°C เป็น 32°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 26°C หรือสูงกว่า 37°C อุณหภูมิสูงเฉลี่ยรายวันสูงสุดคือ 34°C ในวันที่ 19 กรกฎาคม

อุณหภูมิต่ำรายวันอยู่ที่ประมาณ 20°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 14°C หรือสูงกว่า 24°C อุณหภูมิต่ำเฉลี่ยรายวันสูงสุดคือ 22°C ในวันที่ 24 กรกฎาคม

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 18 กรกฎาคม วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน คาราจ โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 22°C ถึง 34°C ส่วน 23 มกราคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ -2°C ถึง 6°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยสรุปของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในฤดูร้อน แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

Mulvane, สหรัฐอเมริกา (ห่างออกไป 11,243 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ คาราจ มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ คาราจ กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

ฤดูร้อนใน คาราจ มีเมฆปกคลุม ลดลง โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือมีเมฆเป็นส่วนมากลดลงจาก 11% เป็น 1% โอกาสต่ำสุดที่ท้องฟ้าจะ มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ในวันที่ 29 สิงหาคม คือ 0%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดในฤดูร้อน คือ 29 สิงหาคม โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 100% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 18 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 39% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 29 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 100% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน คาราจ วันที่ฝนจะตกในฤดูร้อน มีโอกาส เพิ่มขึ้น โดยในช่วงต้นฤดูมีโอกาส 4% ส่วนช่วงปลายฤดูมีโอกาส 9%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 23% ในวันที่ 9 พฤศจิกายน และโอกาสน้อยที่สุดคือ 3% ในวันที่ 5 สิงหาคม

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในฤดูนั้น ๆ ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างฤดูร้อนใน คาราจ อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ โดยคงอยู่ที่ประมาณ 7 มิลลิเมตร ตลอดฤดู และน้อยมากที่เกิน 29 มิลลิเมตร

ปริมาณสะสมใน 31 วันโดยเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 4 มิลลิเมตร ในวันที่ 17 มิถุนายน

ตลอดระยะเวลาของฤดูร้อนใน คาราจ ความยาวของเวลากลางวันจะลดลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นฤดูถึงสิ้นฤดู ความยาวของเวลากลางวันจะลดลงไป 1 ชั่วโมง และ 29 นาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการลดลงรายวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 59 วินาที และมีการลดลงรายสัปดาห์เท่ากับ 6 นาที และ 50 วินาที

วันที่สั้นที่สุดของฤดูร้อนคือวันที่ 31 สิงหาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 57 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 20 มิถุนายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 14 ชั่วโมง และ 36 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดของฤดูร้อนใน คาราจ คือเวลา 04:49 ในวันที่ 12 มิถุนายน และพระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดคือหลังจากนั้นอีก 48 นาที ในเวลา 05:37 ของวันที่ 31 สิงหาคม

เวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ 19:26 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน และเวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 52 นาที ในเวลา 18:34 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน คาราจ ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 04:49 และตกในเวลาอีก 14 ชั่วโมง และ 36 นาที ต่อมาที่เวลา 19:25 ส่วนในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 07:12 และตกในเวลาอีก 9 ชั่วโมง และ 44 นาที ต่อมาที่ 16:56

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับฤดูร้อน ปี พ.ศ. 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

ใน คาราจ โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะมีอากาศร้อนอบอ้าวนั้นอยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญในช่วงฤดูร้อน โดยคงอยู่ที่ประมาณ 0% ตลอดทั้งฤดู

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน คาราจ จะลดลงช้า ๆ ในช่วงฤดูร้อน โดยลดลงจาก 10.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 9.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในช่วงฤดูกาลนั้น

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 18 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 11.0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 15 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 7.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมงใน คาราจ ตลอดฤดูร้อนส่วนใหญ่คือ จากทิศใต้ โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 51% ในวันที่ 10 กรกฎาคม

คาราจ ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ (เช่น มหาสมุทร ทะเล หรือทะเลสาบขนาดใหญ่) เนื้อหาในส่วนนี้จะรายงานเกี่ยวกับอุณหภูมิน้ำผิวดินในพื้นที่กว้างโดยเฉลี่ยของแหล่งน้ำนั้น

อุณหภูมิน้ำผิวดินเฉลี่ยใน คาราจ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูร้อน โดยเพิ่มขึ้น 5°C จาก 22°C เป็น 27°C ภายในช่วงฤดูนั้น

อุณหภูมิน้ำผิวดินเฉลี่ยสูงสุดในช่วงฤดูร้อนคือ 28°C ในวันที่ 8 สิงหาคม

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

โดยทั่วไป ฤดูเพาะปลูก ใน คาราจ จะมีเวลานาน 8.2 เดือน (251 วัน) โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณวันที่ 20 มีนาคม ถึงประมาณวันที่ 26 พฤศจิกายน น้อยครั้งมากที่จะเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 มีนาคม หรือหลังวันที่ 7 เมษายน และน้อยครั้งมากที่จะสิ้นสุดก่อนวันที่ 7 พฤศจิกายน หรือหลังวันที่ 15 ธันวาคม

ฤดูร้อนใน คาราจ อยู่ภายในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกมาโดยตลอด

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ยใน คาราจ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากระหว่างฤดูร้อน โดยเพิ่มขึ้น 1,468°C จาก 534°C เป็น 2,002°C ภายในช่วงฤดูนั้น

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวันใน คาราจ จะลดลงในช่วงฤดูร้อน โดยลดลง 1.2 กว.-ชม. จาก 8.3 กว.-ชม. เป็น 7.1 กว.-ชม. ภายในฤดูนั้น

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยสูงสุดรายวันในช่วงฤดูร้อนคือ 8.5 กว.-ชม. ในวันที่ 18 มิถุนายน

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ คาราจ คือละติจูดที่ 35.833° ลองจิจูดที่ 50.992° และระดับความสูง 1,341 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ คาราจ มีระดับความสูงที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญมาก โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 543 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 1,384 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก (2,026 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ยังมีระดับความสูงที่แตกต่างกันมากอย่างยิ่งเช่นกัน (4,429 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ คาราจ ปกคลุมไปด้วย พุ่มไม้ (60%)และทุ่งหญ้า (31%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย พุ่มไม้ (60%)และป่าเรือนยอดห่าง (14%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย พุ่มไม้ (58%)และป่าเรือนยอดห่าง (12%)