สภาพอากาศของเดือนมีนาคม ใน Wickenburg สหรัฐอเมริกา

อุณหภูมิสูงรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 4°C จาก 20°C เป็น 24°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 14°C หรือสูงกว่า 30°C

อุณหภูมิต่ำรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 3°C จาก 7°C เป็น 9°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 3°C หรือสูงกว่า 14°C

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 3 กรกฎาคม วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน Wickenburg โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 24°C ถึง 38°C ส่วน 26 ธันวาคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ 4°C ถึง 16°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยรวมของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในช่วงไตรมาสที่เริ่มจากเดือน มีนาคม ของปี แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

Ouarzazat, โมร็อกโก (ห่างออกไป 9,425 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ Wickenburg มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ Wickenburg กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

เดือน มีนาคม ใน Wickenburg มีเมฆปกคลุม ลดลง โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้า มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ลดลง จาก 37% เป็น 28%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดของเดือนคือ 31 มีนาคม โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 72% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 39% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 18 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 86% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน Wickenburg วันที่หยาดน้ำฟ้าจะตกมากในช่วงเดือน มีนาคม มีโอกาส ลดลง โดยในช่วงต้นเดือนมีโอกาส 12% ส่วนช่วงปลายเดือนมีโอกาส 6%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 22% ในวันที่ 11 สิงหาคม และโอกาสน้อยที่สุดคือ 1% ในวันที่ 12 มิถุนายน

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในเดือน ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างเดือน มีนาคม ใน Wickenburg ลดลง โดยในช่วงต้นเดือนอยู่ที่ 28 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 67 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า -0 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายเดือนอยู่ที่ 12 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 30 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า -0 มิลลิเมตร

ตลอดระยะเวลาของวันที่ มีนาคม ใน Wickenburg ความยาวของเวลากลางวัน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นเดือนถึงสิ้นเดือน ความยาวของเวลากลางวัน เพิ่มขึ้น ไป 1 ชั่วโมง และ 4 นาที ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามี การเพิ่มขึ้น รายวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 2 นาที และ 7 วินาที และมี การเพิ่มขึ้น รายสัปดาห์เท่ากับ 14 นาที และ 49 วินาที

วันที่สั้นที่สุดของเดือนคือวันที่ 1 มีนาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 11 ชั่วโมง และ 29 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 31 มีนาคม โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 33 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดของเดือน ใน Wickenburg คือ 06:58 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม และพระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดคือ ก่อนหน้านั้น 40 นาที ในเวลา 06:18 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม

เวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ 18:27 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม และเวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 24 นาที ในเวลา 18:51 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน Wickenburg ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05:20 และตกในเวลาอีก 14 ชั่วโมง และ 25 นาที ต่อมาที่เวลา 19:45 ส่วนในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 07:32 และตกในเวลาอีก 9 ชั่วโมง และ 53 นาที ต่อมาที่ 17:26

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับเดือน มีนาคม 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะ ร้อนอบอ้าว ใน Wickenburg is อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ ระหว่างเดือน มีนาคม โดยคงอยู่ที่ประมาณ 0% ตลอดเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 12% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 0% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ใน Wickenburg เพิ่มขึ้นช้า ๆ ระหว่างเดือน มีนาคม โดยเพิ่มขึ้นจาก 12.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 13.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 23 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 13.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 10.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยต่ำสุดรายวันระหว่างเดือน มีนาคม คือ 12.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในวันที่ 2 มีนาคม

ทิศทางลม ใน Wickenburg ระหว่างเดือน มีนาคม ส่วนใหญ่มาจาก ทิศเหนือ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึงวันที่ 6 มีนาคมและทิศตะวันตก ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

โดยทั่วไป ฤดูเพาะปลูก ใน Wickenburg จะมีเวลานาน 10 เดือน (307 วัน) โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ถึงประมาณวันที่ 7 ธันวาคม น้อยครั้งมากที่จะเริ่มต้นหลังวันที่ 9 มีนาคม หรือสิ้นสุดก่อนวันที่ 17 พฤศจิกายน

เดือน มีนาคม ใน Wickenburg มีโอกาสมากกว่าครึ่งที่จะอยู่ภายในช่วงฤดูกาลเพาะปลูก โดยที่วันใดวันหนึ่งมีโอกาสจะอยู่ในฤดูกาลเพาะปลูกเพิ่มขึ้น จาก 84% เป็น 98% ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ย ใน Wickenburg เพิ่มขึ้น ระหว่างเดือน มีนาคม โดยเพิ่มขึ้น 161°C จาก 153°C เป็น 314°C ตลอดระยะเวลาทั้งเดือน

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวัน ใน Wickenburg เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างเดือน มีนาคม โดยเพิ่มขึ้น 1.6 กว.-ชม. จาก 5.1 กว.-ชม. เป็น 6.6 กว.-ชม. ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ Wickenburg คือละติจูดที่ 33.969° ลองจิจูดที่ -112.730° และระดับความสูง 626 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Wickenburg มีระดับความสูงที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 187 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 657 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (761 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันมาก (2,196 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Wickenburg ปกคลุมไปด้วย พุ่มไม้ (93%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย พุ่มไม้ (98%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย พุ่มไม้ (86%)