สภาพอากาศของเดือนมิถุนายน ที่ Joe Foss Field สหรัฐอเมริกา

อุณหภูมิสูงรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 4°C จาก 24°C เป็น 29°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 18°C หรือสูงกว่า 33°C

อุณหภูมิต่ำรายวัน เพิ่มขึ้น ไป 4°C จาก 13°C เป็น 17°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 7°C หรือสูงกว่า 22°C

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 18 กรกฎาคม วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ที่ Joe Foss Field โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 18°C ถึง 29°C ส่วน 12 มกราคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ -12°C ถึง -3°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยรวมของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในช่วงไตรมาสที่เริ่มจากเดือน มิถุนายน ของปี แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

อัลมาตี, คาซัคสถาน (ห่างออกไป 10,350 กิโลเมตร)และJiuquan, จีน (10,636 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ Joe Foss Field มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ Joe Foss Field กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

เดือน มิถุนายน ที่ Joe Foss Field มีเมฆปกคลุม ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้า มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ลดลง จาก 43% เป็น 30%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดของเดือนคือ 30 มิถุนายน โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 70% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 56% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 74% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ที่ Joe Foss Field วันที่หยาดน้ำฟ้าจะตกมากในช่วงเดือน มิถุนายน มีโอกาส ลดลงช้า ๆ โดยในช่วงต้นเดือนมีโอกาส 37% ส่วนช่วงปลายเดือนมีโอกาส 35%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 39% ในวันที่ 11 มิถุนายน และโอกาสน้อยที่สุดคือ 4% ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในเดือน ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างเดือน มิถุนายน ที่ Joe Foss Field ลดลงช้า ๆ โดยในช่วงต้นเดือนอยู่ที่ 88 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 154 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 38 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายเดือนอยู่ที่ 81 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 150 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 32 มิลลิเมตร

ปริมาณสะสมใน 31 วันโดยเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 93 มิลลิเมตร ในวันที่ 14 มิถุนายน

ตลอดระยะเวลาของวันที่ มิถุนายน ที่ Joe Foss Field ความยาวของเวลากลางวัน อยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ วันที่สั้นที่สุดของเดือนคือวันที่ 1 มิถุนายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 15 ชั่วโมง และ 14 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 20 มิถุนายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 15 ชั่วโมง และ 26 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดของเดือน ที่ Joe Foss Field คือ 05:45 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน และพระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 4 นาที ในเวลา 05:49 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน

เวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ 21:02 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน และเวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 10 นาที ในเวลา 21:12 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน

มีการใช้เวลาออมแสง ที่ Joe Foss Field ระหว่างปี พ.ศ. 2567 แต่ไม่เริ่มต้นหรือสิ้นสุดลงในเดือน มิถุนายน ดังนั้นจึงมีการใช้เวลามาตรฐานตลอดทั้งเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05:45 และตกในเวลาอีก 15 ชั่วโมง และ 26 นาที ต่อมาที่เวลา 21:11 ส่วนในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 07:57 และตกในเวลาอีก 8 ชั่วโมง และ 56 นาที ต่อมาที่ 16:53

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับเดือน มิถุนายน 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะ ร้อนอบอ้าว ที่ Joe Foss Field เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ระหว่างเดือน มิถุนายน เพิ่มขึ้น จาก 5% เป็น 28% ตลอดช่วงเวลาของเดือนนั้น

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 38% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 7 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 0% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ที่ Joe Foss Field ลดลง ระหว่างเดือน มิถุนายน โดยลดลงจาก 18.0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 16.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 7 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 21.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 14.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ที่ Joe Foss Field ตลอดเดือน มิถุนายน ส่วนใหญ่คือจาก ทิศใต้ โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 42% ในวันที่ 30 มิถุนายน

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

โดยทั่วไป ฤดูเพาะปลูก ที่ Joe Foss Field จะมีเวลานาน 5.2 เดือน (156 วัน) โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณวันที่ 29 เมษายน ถึงประมาณวันที่ 2 ตุลาคม น้อยครั้งมากที่จะเริ่มต้นก่อนวันที่ 11 เมษายน หรือหลังวันที่ 17 พฤษภาคม และน้อยครั้งมากที่จะสิ้นสุดก่อนวันที่ 15 กันยายน หรือหลังวันที่ 20 ตุลาคม

เดือน มิถุนายน ที่ Joe Foss Field อยู่ภายในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกมาโดยตลอด

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ย ที่ Joe Foss Field เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างเดือน มิถุนายน โดยเพิ่มขึ้น 304°C จาก 277°C เป็น 581°C ตลอดระยะเวลาทั้งเดือน

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวัน ที่ Joe Foss Field is อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ ระหว่างเดือน มิถุนายน โดยคงอยู่ภายในช่วง 0.2 กว.-ชม. ของ 6.9 กว.-ชม. ตลอดเดือน

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ Joe Foss Field คือละติจูดที่ 43.581° ลองจิจูดที่ -96.742° และระดับความสูง 433 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Joe Foss Field มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 72 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 435 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ยังมีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (112 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น (257 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Joe Foss Field ปกคลุมไปด้วย พื้นผิวเทียม (53%) พื้นที่เพาะปลูก (37%) และทุ่งหญ้า (10%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย พื้นที่เพาะปลูก (81%)และพื้นผิวเทียม (14%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย พื้นที่เพาะปลูก (94%)