สภาพอากาศของเดือนเมษายน ใน Sumur อินโดนีเซีย

อุณหภูมิสูงรายวันอยู่ที่ประมาณ 31°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 29°C หรือสูงกว่า 33°C อุณหภูมิสูงเฉลี่ยรายวันสูงสุดคือ 31°C ในวันที่ 24 เมษายน

อุณหภูมิต่ำรายวันอยู่ที่ประมาณ 22°C น้อยมากที่จะลดลงต่ำกว่า 20°C หรือสูงกว่า 24°C

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 28 ตุลาคม วันที่ร้อนที่สุด ของปี อุณหภูมิ ใน Sumur โดยทั่วไปอยู่ในช่วงตั้งแต่ 22°C ถึง 34°C ส่วน 5 สิงหาคม วันที่หนาวที่สุด ของปีนั้น อุณหภูมิอยู่ในช่วงตั้งแต่ 19°C ถึง 30°C

ตัวเลขข้างล่างแสดงให้คุณเห็นลักษณะโดยรวมของอุณหภูมิเฉลี่ยรายชั่วโมงในช่วงไตรมาสที่เริ่มจากเดือน เมษายน ของปี แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน โดยมีสีแสดงอุณหภูมิเฉลี่ยสำหรับชั่วโมงและวันดังกล่าว

San Sebastián, กัวเตมาลา (ห่างออกไป 17,166 กิโลเมตร) Santa María del Real, ฮอนดูรัส (17,755 กิโลเมตร) และMaracay, เวเนซุเอลา (19,747 กิโลเมตร) เป็นสถานที่ที่อยู่ไกลในต่างประเทศ โดยมีอุณหภูมิที่คล้ายคลึงกับ Sumur มากที่สุด (ดูข้อมูลเปรียบเทียบ)

© OpenStreetMap contributors

เปรียบเทียบ Sumur กับอีกเมืองหนึ่ง :

เปรียบเทียบแผนที่

เดือน เมษายน ใน Sumur มีเมฆปกคลุม ลดลง โดยที่ร้อยละของเวลาที่ท้องฟ้า มืดครึ้ม หรือ มีเมฆเป็นส่วนมาก ลดลง จาก 81% เป็น 73%

วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุดของเดือนคือ 30 เมษายน โดยที่ท้องฟ้า แจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือ มีเมฆบางส่วน ในอัตรา 27% ของเวลา

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 23 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่มีเมฆมากที่สุดของปี สภาพอากาศมีโอกาส 91% ที่จะมืดครึ้มหรือมีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนในวันที่ 29 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่แจ่มใสมากที่สุดของปี ท้องฟ้ามีโอกาส 45% ที่จะแจ่มใส แจ่มใสเป็นส่วนมาก หรือมีเมฆบางส่วน

วันที่มีหยาดน้ำฟ้าตกมาก หมายถึงวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเป็นของเหลวหรือเทียบเท่าของเหลว ในปริมาณอย่างน้อย 1 มิลลิเมตร ใน Sumur วันที่หยาดน้ำฟ้าจะตกมากในช่วงเดือน เมษายน มีโอกาส ลดลงอย่างรวดเร็วมาก โดยในช่วงต้นเดือนมีโอกาส 44% ส่วนช่วงปลายเดือนมีโอกาส 31%

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง โอกาสที่จะมีตกรายวันสูงสุดของปีคือ 66% ในวันที่ 19 มกราคม และโอกาสน้อยที่สุดคือ 6% ในวันที่ 20 สิงหาคม

ปริมาณน้ำฝน

เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างภายในเดือน ไม่ใช่แค่ปริมาณทั้งหมดในแต่ละเดือน เราแสดงปริมาณน้ำฝนที่สะสมภายในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลังแต่ละวัน

ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วงเวลา 31 วันก่อนและหลัง ระหว่างเดือน เมษายน ใน Sumur ลดลงอย่างรวดเร็วมาก โดยในช่วงต้นเดือนอยู่ที่ 138 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 225 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 54 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงปลายเดือนอยู่ที่ 86 มิลลิเมตร น้อยมากที่เกิน 142 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่า 31 มิลลิเมตร

ตลอดระยะเวลาของวันที่ เมษายน ใน Sumur ความยาวของเวลากลางวัน อยู่ในระดับคงที่เป็นสำคัญ วันที่สั้นที่สุดของเดือนคือวันที่ 30 เมษายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 11 ชั่วโมง และ 50 นาที ส่วนวันที่ยาวที่สุดคือวันที่ 1 เมษายน โดยมีแสงสว่างกลางวันนาน 12 ชั่วโมง และ 1 นาที

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นช้าที่สุดของเดือน ใน Sumur คือ 05:27 เมื่อวันที่ 1 เมษายน และพระอาทิตย์ขึ้นเร็วที่สุดคือ ก่อนหน้านั้น 1 นาที และ 0 วินาที ในเวลา 05:26 เมื่อวันที่ 23 เมษายน

เวลาที่พระอาทิตย์ตกช้าที่สุดคือ 17:29 เมื่อวันที่ 1 เมษายน และเวลาที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดคือ หลังจากนั้นอีก 12 นาที ในเวลา 17:16 เมื่อวันที่ 30 เมษายน

ไม่มีการใช้เวลาออมแสง ใน Sumur ระหว่างปี พ.ศ. 2567

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05:05 และตกในเวลาอีก 12 ชั่วโมง และ 36 นาที ต่อมาที่เวลา 17:40 ส่วนในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงกลางวันสั้นที่สุด ของปี ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05:36 และตกในเวลาอีก 11 ชั่วโมง และ 39 นาที ต่อมาที่ 17:16

รูปด้านล่างแสดงภาพระดับความสูงของดวงอาทิตย์แบบย่อ (มุมของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า) และมุมทิศ (มุมที่ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปบนเข็มทิศ) ในแต่ละชั่วโมงของแต่ละวันตลอดช่วงเวลาที่มีการรายงาน แกนนอนเป็นวันของปี ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ในวันใด ๆ และชั่วโมงของวันนั้น สีพื้นหลังแสดงถึงมุมทิศของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น เส้นเท่าสีดำเป็นเส้นชั้นความสูงของระดับความสูงคงที่ของดวงอาทิตย์

ตัวเลขข้างล่างแสดงภาพรวมโดยย่อของข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงจันทร์สำหรับเดือน เมษายน 2567 แกนนอนเป็นวัน ส่วนแกนตั้งเป็นชั่วโมงของวัน ส่วนพื้นที่สีระบุเวลาที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แถบแนวตั้งสีเทา (จันทร์ดับ) และแถบสีน้ำเงิน (จันทร์เต็มดวง) ระบุดิถีสำคัญของดวงจันทร์ ข้อมูลที่สัมพันธ์กับแต่ละแถบแสดงให้เห็นวันที่และเวลาที่ได้รับข้อมูลข้างขึ้นข้างแรม ส่วนข้อมูลเวลาที่อยู่ด้วยกันระบุเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกสำหรับช่วงเวลาที่ใกล้ที่สุดที่ดวงจันทร์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

เราตั้งค่าระดับความสบายต่อความชื้นที่จุดน้ำค้างเนื่องจากเป็นตัวกำหนดว่า เหงื่อจะระเหยออกจากผิวหนังเพื่อให้ร่างกายเย็นลงหรือไม่ จุดน้ำค้างที่ต่ำทำให้รู้สึกว่าแห้งกว่า ส่วนจุดน้ำค้างที่สูงขึ้นจะทำให้รู้สึกว่าชื้นมากกว่า สิ่งที่แตกต่างจากอุณหภูมิคือ โดยทั่วไปอุณหภูมิในตอนกลางคืนและกลางวันจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดน้ำค้างมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่า ดังนั้นขณะที่อุณหภูมิอาจลดลงในตอนกลางคืน แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงกลางวันที่อบอ้าวจะตามด้วยช่วงกลางคืนที่อบอ้าวเช่นกัน

โอกาสที่วันใดวันหนึ่งจะ ร้อนอบอ้าว ใน Sumur อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ ระหว่างเดือน เมษายน โดยคงอยู่ภายในช่วง 1% ของ 99% ตลอดเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมากที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 100% ของเวลาทั้งหมด ส่วนในวันที่ 29 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวน้อยที่สุดของปี มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว 71% ของเวลาทั้งหมด

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเวกเตอร์ (ความเร็วและทิศทาง) ลมเฉลี่ยรายชั่วโมงในพื้นที่กว้าง ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดิน ลมที่ประสบในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศเฉพาะแห่งและปัจจัยอื่น ๆ เป็นสำคัญ โดยที่ความเร็วและทิศทางลมเฉพาะขณะจะแตกต่างกันมากมากกว่าค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง

ความเร็วลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ใน Sumur เพิ่มขึ้นช้า ๆ ระหว่างเดือน เมษายน โดยเพิ่มขึ้นจาก 7.0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 8.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดช่วงเวลาทั้งเดือน

สำหรับเป็นข้อมูลอ้างอิง ในวันที่ 12 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 13.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในวันที่ 26 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่ลมสงบมากที่สุดของปี ความเร็วลมเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 6.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทิศทางลมเฉลี่ยรายชั่วโมง ใน Sumur ตลอดเดือน เมษายน ส่วนใหญ่คือจาก ทิศตะวันออก โดยมีสัดส่วนสูงสุดเท่ากับ 57% ในวันที่ 30 เมษายน

Sumur ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ (เช่น มหาสมุทร ทะเล หรือทะเลสาบขนาดใหญ่) เนื้อหาในส่วนนี้จะรายงานเกี่ยวกับอุณหภูมิน้ำผิวดินในพื้นที่กว้างโดยเฉลี่ยของแหล่งน้ำนั้น

อุณหภูมิน้ำผิวดินเฉลี่ย ใน Sumur อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ ระหว่างเดือน เมษายน โดยคงอยู่ที่ประมาณ 29°C ตลอดเดือน

อุณหภูมิน้ำผิวดินเฉลี่ยสูงสุดระหว่างเดือน เมษายน คือ 29°C ในวันที่ 22 เมษายน

คำจำกัดความของฤดูเพาะปลูกจะแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่เพื่อวัตถุประสงค์ของรายงานนี้ เราให้นิยามไว้ว่า เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดที่อุณหภูมิไม่ใช่จุดเยือกแข็ง (≥ 0°C) ในปีนั้น (ปีปฏิทินในซีกโลกเหนือ หรือตั้งแต่ 1 กรกฎาคม จนถึง 30 มิถุนายน ในซีกโลกใต้)

อุณหภูมิ ใน Sumur มีอากาศอบอุ่นเพียงพอตลอดทั้งปี จึงไม่มีความหมายแต่ประการใดที่จะกล่าวถึงฤดูเพาะปลูกด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เราได้แสดงแผนภูมิไว้ด้านล่างเพื่อให้เห็นการกระจายของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี

ค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกเป็นค่าการสะสมความร้อนรายปี ซึ่งใช้เพื่อทำนายพัฒนาการของพืชและสัตว์ และหมายถึงค่าอินทิกรัลความอุ่นเหนืออุณหภูมิพื้นฐาน โดยไม่คำนึงถึงส่วนเกินใด ๆ ที่สูงกว่าอุณหภูมิสูงสุด ในรายงานนี้ เราใช้ค่าพื้นฐานเท่ากับ 10°C และค่าสูงสุดเท่ากับ 30°C

จำนวนวันที่มีค่าความร้อนสะสมตลอดฤดูปลูกโดยเฉลี่ย ใน Sumur เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างเดือน เมษายน โดยเพิ่มขึ้น 456°C จาก 4,204°C เป็น 4,660°C ตลอดระยะเวลาทั้งเดือน

หัวข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบรายวันทั้งหมดที่ตกกระทบพื้นผิวดินเป็นบริเวณกว้าง โดยพิจารณาถึงความผันแปรตามฤดูกาลในด้านช่วงแสงในแต่ละวัน ระดับความสูงของดวงอาทิตย์เหนือเส้นขอบฟ้า และการดูดกลืนแสงโดยเมฆและองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศ รังสีคลื่นสั้นครอบคลุมถึงแสงที่มองเห็นได้และรังสีอัลตราไวโอเลต

พลังงานแสงอาทิตย์คลื่นสั้นตกกระทบเฉลี่ยรายวัน ใน Sumur is อยู่ที่ระดับคงที่เป็นสำคัญ ระหว่างเดือน เมษายน โดยคงอยู่ภายในช่วง 0.2 กว.-ชม. ของ 5.0 กว.-ชม. ตลอดเดือน

เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายงานฉบับนี้ พิกัดภูมิศาสตร์ของ Sumur คือละติจูดที่ -8.030° ลองจิจูดที่ 113.817° และระดับความสูง 332 ม.

ภูมิประเทศภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Sumur มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ระดับความสูงมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 89 เมตร และความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเท่ากับ 332 เมตร ภายในรัศมี 16 กิโลเมตร มีระดับความสูงที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น (2,244 เมตร) ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ยังมีระดับความสูงที่แตกต่างกันมากอย่างยิ่งเช่นกัน (3,272 เมตร)

พื้นที่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ของ Sumur ปกคลุมไปด้วย พื้นที่เพาะปลูก (60%)และต้นไม้ (26%) ส่วนภายในรัศมี 16 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย พื้นที่เพาะปลูก (42%)และต้นไม้ (37%) และภายในรัศมี 80 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วย น้ำ (43%)และต้นไม้ (27%)